วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 4 หน่วยความจำ


พื้นฐานความรู้ที่ควรมี

                1. อธิบายความหมายของหน่วยความจำแบบโวลาไทน์ และนอนโวลาไทน์
                2. อธิบายชนิดของหน่วยความจำแบบต่างๆ ได้
                3. สามารถบอกถึงขั้นตอนการทำงานของหน่วยความจำได้

4.1 บทนำ
       หน่วยความจำเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับระบบคอมพิวเตอร์ตามแนวคิดของการพัฒนาคอมพิวเตอร์แบบ วอน นอยแมน ซึ่งเป็นผู้เสนอแนวคิดของการเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำ แล้วให้ชีพียูอ่านโปรแกรมมาดำเนินการ โดยมีขั้นตอนการทำงานเป็นวงจรรอบชัดเจนดังนั้นอาจเรียกแนวคิดของระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ว่า แนวคิดการเก็บโปรแกรม(Store Program Concept )

      หน่วยความจำจึงเป็นชิ้นส่วนที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลซีพียูจะทะงานตามโปรแกรมที่มีการบรรจุไว้ในหน่วยความจำ เนื่องจากวงจรรอบการทำงานของซีพียูกระทำได้รวดเร็วมาก ดั้งนั้นจึงต้องเก็บโปรแกรมและข้อมูลไว้ในหน่วยความจำและซีพียู   เรียกใช้หรือนำเก็บได้อย่างรวดเร็ว

      หน่วยความจำแบบเครื่องพีซีที่เป็นหน่วยความจำหลักเรียกว่า RAM ซึ่งเป็นคำย่อมาจาก Random  Access  Memory การเรียกว่า RAM เพราะโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลจัดเก็บสถานะซึ่งแทนเลขไลบารี่ โดยมีการกำหนดตำแหน่งที่เก็บที่เรียกว่า แอดเดรส โดยทั่วไปจัดโครงสร้างของหน่วยความจำให้มีความกว้างขนาด 8 บิต และตำแหน่งแอดเดรสบอกของ RAM ทั้งหมด เช่น ถ้าRAM มีขนาด 64 กิโลไบต์ (64 k) ก็หมายถึงขนาดของ RAM มีความกว้าขนาด 8 บิต หรือ 1 ไบต์ และมีตำแหน่งที่เก็บได้เท่ากับ 65536 ตำแหน่ง (2  ยกกำลัง 16) โดยมีแอดเดรสกำหนดตำแหน่งทั้งหมด 16 บิต
รูปที่ 1 แสดงภาพหน่วยความจำ
4.2  หน่วยความจำแบบโวลาไทน์ และนอนโวลาไทน์
หน่วยความจำแบบโวลาไทน์นอนโวลาไทล์เมมโมรี่ คือ หน่วยความจำทุกชนิดที่ไม่ต้องทำการรีเฟรชคอนเทนต์ ได้แก่ รอมทุกประเภท (ROM) เช่น พีรอม (PROM), เอ็ปรอม (EPROM), อีเอ็ปรอม (EEPROM) และแฟลชเมมโมรี่ (Flash Memory) รวมถึงแรม (RAM) ที่ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากแบตเตอรี่ด้วย "Open-Source" หรือ "โอเพ่นซอร์ส" คือคำที่ใช้แทนคำว่า ฟรีซอฟต์แวร์ (Free Software) หรือซอฟต์แวร์เสรี ที่ให้เสรีภาพแก่ผู้บริโภคในการรัน, แก้ไขปรับปรุง และเผยแพร่โปรแกรม ไม่ว่าจะโดยการจำหน่ายหรือให้ฟรีก็ตาม แต่ที่สำคัญคือต้องแถมซอร์สโค้ด (Source Code) ไปด้วย Operating System (OS) หรือ ระบบปฏิบัติการ คือ โปรแกรมที่โหลดขึ้นมาตามกระบวนการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ PCI Express เทคโนโลยีใหม่สำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต โดยเฉพาะกราฟิกการ์ด มีแบนด์วิธกว้างกว่าและความเร็วสูงกว่ามาตรฐาน PCI ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน Podcast พ็อดคาสต์หรือ Podcast คือการบันทึกเสียงหรือการนำไฟล์เสียงขึ้นไปเก็บบนเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้สนใจดาวน์โหลดมาฟัง
Processor หรือ โปรเซสเซอร์ คือวงจรตรรก (Logic) ซึ่งทำหน้าที่ตอบสนองหรือประมวลชุดคำสั่งพื้นฐาน (Instruction) ที่ใช้ในการขับเคลื่อนคอมพิวเตอร์ โดยทั่วไปแล้วคำ “Processor” อาจใช้แทนคำ “CPU” ได้ ทั้งนี้โปรเซสเซอร์ที่อยู่ในเครื่องพีซีหรือในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กจะนิยมเรียกว่า “Microprocessor” หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์




4.3 สแตติกแรมและไดนามิกส์แรม (Static RAM and Dynamic RAM )


              สแตติกแรมและไดนามิกส์แรม (Static RAM and Dynamic RAM)Static RAM หรือ SRAM เป็นวงจรที่สร้างให้เก็บข้อมูลในลักษณะ มีไฟและ ไม่มีไฟ ถ้ามีสัญญาณไฟฟ้าจะตรวจสอบตรรกะเป็น 1 ไม่มีสัญญาณให้ค่าตรรกะเป็น 0 ทำให้เก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาที่มีไฟเลี้ยงและทำงานด้วยความเร็วสูง แต่วงจรจะมีขนาดใหญ่ใช้กระแสไฟมากทำให้เกิดความร้อนในตัวชิพสูง ราคาแพงกว่าไดนามิกแรมมากจึงใช้เป็นหน่วยความจำแคชเท่านั้น Dynamic RAM หรือ DRAM เป็นวงจรที่สร้างให้เก็บข้อมูลโดยการตรวจสอบว่า มีประจุ หรือ ไม่มีประจุ ซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่าแบบแสตติกมากราคาถูกเป็นแรมที่ใช้ทำหน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่มีข้อเสียที่ประจุไฟฟ้าในแรมจะลดจำนวนลงไปเรื่อย ๆ จึงต้องมีระบบเติมประจุให้กับส่วนที่มีประจุเป็นระยะเรียกว่าการ Refresh เพื่อให้ไดนามิกแรมเก็บข้อมูลไว้ได้ตลอดเวลาที่ใช้งาน ช่วงเวลาที่เติมประจุเรียกว่า Refresh Rate 





4.4  เทคโนโลยี  DRAM   ที่ใช้ใน PC

Computer PC จะใช้แรมประเภท DRAM เนื่องจากเหตุผลทางด้านราคาต่อความจุที่ดีกว่า ลักษณะภายนอกของ RAM โดยทั่วไปจะเป็นชิปที่ติดมากับแผ่นเมนบอร์ดของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราสามารถเพิ่มจำนวนของ RAM ได้โดยการเสียบเพิ่มที่ Socket บนเมนบอร์ด ซึ่ง RAM แต่ละแบบแต่ละรุ่นก็จะมี Socket ที่ต่างกัน



4.5 ประเภทของหน่วยความจำ 

                เราสามารถแบ่งประเภทของหน่วยความจำออกเป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้ดังนี้

1. FPM (Fast Page Mode)

FPM DRAM เป็น DRAM ในยุคแรกของรุ่น 486 โดยเพิ่มความเร็วในลักษณะแบ่งหน่วยความจำตามโครงสร้างที่แบ่งเป็นแถวและสดมภ์ โดยหากอ่านหรือเขียนหน่วยความจำในห้องเดียวกัน ก็ไม่จำเป็นต้องส่งค่าแอดเดรสในระดับแถวไป เพราะกำหนดไว้ก่อนแล้ว คงส่งเฉพาะสดมภ์เท่านั้น จึงทำให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีก หน่วยความจำแบบ FPM ได้รับการนำมาใช้ในช่วงเวลาไม่นานนัก ปัจจุบันเลิกผลิตแล้ว

รูปที่ 2 แสดงหน่วยความจำแบบ FPM DRAM


                2. EDO (Extended Data Output)

EDO เป็นเทคโนโลยีที่ปรับปรุงมาจาก FPM และนำมาใช้ในยุคการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่เพนเตียม หลักการของ EDO เน้นการซ้อนเหลี่ยมจังหวะการทำงาน ซึ่งขณะการทำงานที่ซ้อนเหลี่ยมนี้ทำให้ได้ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกมาก ทำให้ช่วงเวลาการเข้าถึงของซีพียูทำได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และลดจังหวะการทำงานไปได้หลายจังหวะ ทั้งนี้ต้องคิดโดยรวมของประสิทธิภาพทั้งหมดหน่วยความจำแบบ EDO จึงเป็นที่รู้จักกันดีในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบันเลิกผลิตแล้วเช่นกัน


รูปที่ 3 แสดงหน่วยความจำแบบ EDORAM


                3. SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory)

อาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory Module โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ Data path 32 bit โดยทั้งสองด้านของ Circuit board จะให้สัญญาณเดียวกัน
รูปที่ 4 แสดงหน่วยความจำแบบ SDRAM


                4. หน่วยความจำ DDR-RAM
               DDR RAM เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อมาจาก SDRAM ในช่วงแรกบริษัทอินเทลไม่พัฒนา
ชิพเซต และไม่ให้การสนับสนุน ทำให้ผู้ผลิตรายอื่น เช่น เอเอ็มดี และบริษัทผู้ผลิตชิพเซตและสร้างเมนบอร์ดชั้นนำของโลกจากไต้หวัน ซึ่งได้แก่ VIA, SiS, ATi ได้รวมกันและพัฒนาเทคโนโลยีนี้จนได้รับความนิยมสูง
รูปที่ 5 แสดงหน่วยความจำแบบ DDR-RAM
               

5. หน่วยความจำแบบ RDRAM
   Intel ได้พัฒนา RDRAM (Rambus DRAM) ขึ้นเพื่อใช้กับ Pantium 4 willamate (Socket 423) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่า DDR และ SD RAM  หลักการทำงานของ RDRAM  มีหลักการทำงานคล้ายกับ DDR RAM แต่การทำงานจะทำงานเป็นคู่ทำให้จำนวน bit ที่รับส่งในแต่ละรอบสูงขึ้นเป็น 128 bit ทำให้สามารถทำ bandwidth สูงสุดถึง 6400 MB/s
รูปที่ 6 แสดงหน่วยความจำแบบ RDRAM



4.6 การตรวจสอบข้อมูลของ RAM

Parity  กับ Non- Parity ส่วนที่แตกต่างกันของสมองแบบนี้ ก็คือว่า แบบ Parity  จะมีความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล โดยจะมี  bit ตรวจสอบ  1 ตัว ถ้าพบว่ามีข้อมูลผิดพลาด ก็จะเกิด System Halt ในขณะที่แบบ Non-Parity จะไม่มีการตรวจสอบ bit นี้

Error Checking and Correcting  (ECC)  หน่วยความจำแบบนี้ ก็พัฒนาขึ้นมาอีกระดับหนึ่งเพราะนอกจากจะตรวจสอบว่ามีข้อมูลผิดพลาดมาก ๆมันก็ halt   ได้เหมือนกัน สำหรับ   ECC  นี้ จะเปลือง Overhead เพื่อเก็บข้อมูลมากกว่าแบบ Parity ดังนั้น  Performance ของมันจึงถูกลดทอนลงไปบ้าง


สรุปท้ายบท

  การเพิ่มหน่วยความจำเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเลือกหน่วยความจำที่จะมาใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะต้องดูที่ชนิดและความเร็วในการส่งข้อมูลบัส (BUS)  เช่น บัส 133, บัส 333 ก็จะทำงานได้ดีกับเมนบอร์ดที่รองรับความเร็วของบัสที่เท่ากัน ถ้าในกรณีที่เรานำความจำที่มีบัสสูงกว่าที่เมนบอร์ดเราจะรองรับได้ เช่น ถ้าเมนบอร์ดสามารถรองรับบัสของหน่วยความจำได้ 100 MHz แต่หน่วยความจำที่นำมาใช้มีบัส 133 MHz ในกรณีนี้ หน่วยความจำก็จะทำงานได้ที่ 100 MHz ตามที่เมนบอร์ดรองรับได้เท่านั้นซึ่งจะทำให้ในงานความเร็วในการส่งข้อมูลของหน่วยความจำได้ไม่เต็มที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น